สรุปสถานการณ์
ข่าวการหายตัวไปของพระมหาทิวากร ดีไพร เจ้าอาวาสวัดใหญ่จอมปราสาท ในช่วงเข้าพรรษา 2568 ส่งผลให้กิจกรรมเวียนเทียนซึ่งเป็นจารีตสำคัญทางศาสนาถูกยกเลิกกะทันหัน ท่ามกลางความสงสัยของประชาชนและศิษย์วัด สถานการณ์ยิ่งคลุมเครือ เมื่อมีรายงานว่าเจ้าอาวาสออกจากกลุ่มไลน์ศิษย์วัด และมีการคล้องโซ่ปิดกุฎิ ร่วมกับข่าวที่ท่านหอบเงินทำบุญไป 70,000 บาท ขณะที่ฝ่ายปกครองรีบเข้าพบประชาชน ชี้แจงว่าท่านแจ้งลาไปปฏิบัติศาสนกิจต่างจังหวัดไว้ล่วงหน้าแล้ว และมอบหมายพระแผนดูแลแทน แต่ยังเกิดเสียงหวั่นไหวต่อความโปร่งใสด้านการเงิน และการบริหารวัด เพราะขาดไวยาวัจกรเต็มตัว
การวิเคราะห์
ข่าวนี้สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างในการบริหารวัดไทยหลายประการ ทั้งปัญหาการตรวจสอบความโปร่งใสด้านการเงินเมื่อผู้บริหารสูงสุดถืออำนาจเบ็ดเสร็จ ขาดกลไกตรวจสอบของไวยาวัจกร หรือคณะกรรมการวัดที่เข็มแข็ง และเมื่อเกิดเหตุไม่ปกติ ความเปราะบางในระบบสืบทอดอำนาจและการสื่อสารก็กลายเป็นชนวนให้ศรัทธาของประชาชนสั่นคลอนอย่างรวดเร็ว
กรณีการหายตัวอย่างกะทันหัน แม้ภายหลังจะมีการชี้แจงเรื่องลางานทางศาสนา แต่ปฏิกิริยาการคล้องโซ่กุฎิและกระแสสังคมย่อมชี้ให้เห็นถึงความไว้วางใจที่อ่อนแอในโครงสร้างวัดยุคปัจจุบัน พร้อมกระทบต่อกิจกรรมสำคัญอย่างเวียนเทียน ซึ่งเดิมเป็นหัวใจความสัมพันธ์ "ชุมชน-ศาสนา-วัด"
แง่มุมอีกด้านที่สังคมควรตั้งคำถามคือ การครองตำแหน่งของเจ้าอาวาสเป็นแกนบริหารและขุมอำนาจเพียงหนึ่งเดียวหรือไม่ สมควรหรือไม่ที่เงินบริจาคอยู่ในกำมืือเดียวโดยไร้ระบบร่วมสืบความโปร่งใส
ถกเถียงและมุมมอง
เหตุการณ์ครั้งนี้กระทบความเชื่อมั่นในวัด ในฐานะสถาบันหลักของคนไทย และกระตุ้นสังคมกลับมาพิจารณาเรื่องต่อไปนี้
- ทำไมวัดทั่วไปจึงขาดคณะกรรมการหรือไวยาวัจกรเข้มแข็ง ทั้งที่เป็นกลไกสำคัญ
- เมื่อศรัทธาถูกตั้งคำถาม เพราะการขาดความเปิดเผยโปร่งใส การฟื้นคืนความเชื่อมั่นควรต้องปรับมือด้วยระบบมากกว่าบุคคล เช่น ระบบการตรวจสอบงบประมาณ กระจายอำนาจการบริหาร และสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหรือกฎหมายเข้ารับผิดชอบงานสำคัญ
- เหตุการณ์ลักษณะนี้อาจเป็นภาพสะท้อนของปัญหาวัดและศาสนาไทยร่วมสมัย ที่ความศรัทธาถูกท้าทายมากขึ้น หากระบบไม่ปรับตัวให้ทันกับความคาดหวังสังคมยุคใหม่
- อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรเหมารวมเจ้าอาวาสหรือพระทุกรูปในทุกวัด เป็นเพียงบางกรณี แต่ก็ต้องเข้มงวดกลไกตรวจสอบเพื่อปกป้องศรัทธาส่วนใหญ่
มองไปข้างหน้า
กระแสข่าวนี้ควรเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการปฏิรูปการบริหารจัดการวัดทั้งระบบ ไม่ใช่แค่การแก้ไขเฉพาะหน้า กำลังเป็นโอกาสสำคัญที่สังคมไทยควรลุกขึ้นทบทวนบทบาทของตัวเองทั้งในฐานะญาติโยมและผู้เกี่ยวข้องกับศาสนา ให้ศรัทธาถูกปลุกขึ้นใหม่บนรากฐานของความโปร่งใสและตรวจสอบได้อย่างจริงจัง
“วัด” ไม่ควรเป็นองค์กรที่ยึดโยงอยู่กับตัวบุคคลหรือเจ้าอาวาส หากแต่ต้องเป็นสถาบันที่ทุกคนมีสิทธิเสียงในการดูแลและตรวจสอบร่วมกัน
Comments
No comments yet. Be the first to comment!