สรุปสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ “LINE” กลายเป็นแอปแชตอันดับ 1 ของคนไทย
เข้ามา “ถูกจังหวะ”
• ปี 2554–2555 เป็นช่วงสมาร์ตโฟนเริ่มแพร่หลาย แต่แอปคู่แข่งอย่าง WhatsApp ยังไม่มีภาษาไทย, ไม่มีสติกเกอร์, โทรฟรีไม่ได้
• LINE เปิดให้โหลดฟรีบน iOS/Android/BB พร้อมภาษาไทยและโทร VoIP ได้ทันทีวัฒนธรรม “พูดด้วยภาพ” ของคนไทยเข้ากับ “สติกเกอร์”
• คนไทยนิยมใช้สัญลักษณ์/อีโมติคอนอยู่แล้ว พอมีสติกเกอร์ตัวใหญ่ ๆ สีสันสดใสจึงถูกใจมาก
• LINE แจกสติกเกอร์ฟรีทุกสัปดาห์ + สติกเกอร์จากดารา/แบรนด์ ทำให้เกิดกระแส “ต้องโหลดไว้ก่อน”การตลาดเชิงรุกในไทย
• เปิดออฟฟิศ LINE Thailand ตั้งแต่ปี 2556 สร้างคาแรกเตอร์ “บราวน์–โคนี่” ทำสื่อออฟไลน์, อีเวนต์, จัดพรีเซนเตอร์ไทย
• จับมือค่ายมือถือ (AIS, dtac, True) ออกแพ็กเกจ “เล่น LINE ไม่อั้น” สมัย 3G ซึ่งค่าเน็ตยังแพงเครือข่ายผู้ใช้ (Network Effect)
• เมื่อครอบครัว เพื่อน กลุ่มงาน ใช้ LINE หมด คนใหม่ก็ต้องลงเพราะ “กลุ่มอยู่ตรงนั้น”
• โรงเรียน มหาวิทยาลัย หน่วยงานรัฐใช้สร้างกรุ๊ปติดต่อ ทำให้คนทุกวัยต้องมีฟีเจอร์-นิเวศครบวงจร
• Official Account, LINE@ ให้ร้านค้า/แบรนด์สื่อสารกับลูกค้า → SME ไทยใช้เป็น CRM หลัก
• มี LINE Pay, LINE MAN, LINE TV (ปัจจุบันคือ Viu/อื่นๆ) ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องออกจากแอป
• ระบบประกาศ/โพล/อัลบั้ม/Keep ตอบโจทย์ทั้งแชตเล่นและแชตงานคู่แข่ง “ไม่โดนใจ”
• WhatsApp: ไม่มีสติกเกอร์, เคยเสียเงินซื้อ, ไม่ทำตลาดไทยจริงจัง
• Facebook Messenger: ช่วงแรกแยกแอป ผู้คนยังสับสน, สติกเกอร์น้อย, No official account
• WeChat/BBM/Kakaotalk ทำแคมเปญสั้น ๆ แล้วหายภาพลักษณ์ “เป็นมิตร-ปลอดภัย”
• บริษัทไทยจำนวนมากปิดกั้นการใช้ FB แต่ไม่บล็อก LINE
• ผู้ใหญ่รู้สึกว่า LINE “ไม่ใช่โซเชียลสาธารณะ” เหมือน Facebook จึงกล้าใช้งานการเกาะติดเทรนด์สังคมไทยอย่างต่อเนื่อง
• มีชุดสติกเกอร์เทศกาลไทย (สงกรานต์, ลอยกระทง ฯลฯ)
• ดึงศิลปิน K-Pop, BNK48, การ์ตูนดังมาทำสติกเกอร์หรือไลฟ์
• สนับสนุนแคมเปญภาครัฐ เช่น Thai Chana, หมอพร้อม ฯลฯ ในช่วงโควิด
ผลลัพธ์: LINE กลายเป็น “สาธารณูปโภคดิจิทัล” ของไทยไปแล้ว—มีครบทั้งคุยเล่น คุยงาน ซื้อ-ขาย ดูข่าว ดูซีรีส์ ส่งอาหาร ฯลฯ ดังนั้นแม้จะมีแอปใหม่ ๆ เข้ามา คนไทยก็ยังต้องเปิด LINE ทุกวันอยู่ดี
Comments
No comments yet. Be the first to comment!