ถ้าต้องเลือก “เรื่องเดียว” ที่ควรเร่งปรับก่อนอื่นใดในระบบการศึกษาไทย ผมขอชี้ไปที่ “การเปลี่ยนวิธีสอนและการวัดผลจากท่องจำ (rote learning) ไปสู่การเรียนรู้เชิงคิดวิเคราะห์-ลงมือทำ (active / critical learning)” เป็นอันดับแรก
เหตุผลที่เรื่องนี้ควรมาเป็นลำดับแรก
เป็นคอขวดของทุกปัญหา
• ต่อให้ปรับหลักสูตรให้ทันสมัยแค่ไหน แต่ถ้ายังสอนแบบเล่า-ท่อง-สอบ ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างเดิม
• เด็กไม่ถูกฝึกให้ตั้งคำถาม แก้ปัญหา ทำงานเป็นทีม หรือเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งเป็นทักษะที่ตลาดงานและสังคมต้องการลงมือทำได้ทันที ไม่ต้องรอกฎหมายใหญ่
• โรงเรียน-ครูสามารถเริ่มเปลี่ยนห้องเรียนของตนได้เลย หากมีเครื่องมือ/แนวทางสนับสนุน
• ไม่จำเป็นต้องรอแก้ พ.ร.บ.การศึกษา หรือโครงสร้างกระทรวงสร้างแรงกระเพื่อมให้เรื่องอื่นขยับตาม
• เมื่อวิธีสอนเปลี่ยน จะดันให้ “หลักสูตร-สื่อ-ระบบสอบ-การพัฒนาครู” ต้องปรับโดยอัตโนมัติ
• ส่งผลเร็วต่อความผูกพันของนักเรียน (engagement) ทำให้ปัญหาหลุดออกกลางคันและความเหลื่อมล้ำลดลง
จะเปลี่ยนอย่างไรในเชิงปฏิบัติ
A. ปรับบทบาทครู: จาก “ผู้บอกคำตอบ” เป็น “ผู้อำนวยความรู้”
• ใช้เทคนิค PBL (Project-Based Learning), Inquiry, Discussion-based, Flipped Classroom
• จัดอบรมครูแบบ Coaching-Mentoring ต่อเนื่อง ไม่ใช่สัมมนา 2-3 วันจบ
B. ปรับการวัดผล: จากข้อสอบอัตนัยล้วน เป็น “ประเมินกระบวนการ-ชิ้นงาน-แฟ้มสะสมงาน (Portfolio)”
• คะแนนเก็บระหว่างทาง (Formative) มากกว่าคะแนนปลายภาค (Summative)
• ปรับ O-NET/สอบกลางให้วัดการคิดวิเคราะห์มากขึ้น (เช่น ข้อสอบสถานการณ์, เขียนอธิบาย)
C. จัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ใหม่
• ห้องเรียนยืดหยุ่น เคลื่อนโต๊ะเป็นวง/กลุ่มได้
• ใช้สื่อดิจิทัลแบบ Interactive, ห้องสมุด Maker Space
• สนับสนุนงบประมาณครุภัณฑ์-อินเทอร์เน็ต ร่วมกับภาคเอกชน/ท้องถิ่น
D. ใช้ “พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา” เป็นแพลตฟอร์มทดลอง
• เปิดโอกาสโรงเรียนนำร่องในแต่ละจังหวัดได้ยืดหยุ่นหลักสูตร 20–30 % เพื่อสร้างโมเดลให้โรงเรียนอื่นเรียนรู้
อุปสรรคที่ต้องมองให้ขาด
- ภาระงานครู: ถ้าไม่ลดเอกสาร ลดภารกิจนอกชั้น ครูจะไม่มีแรงเปลี่ยนวิธีสอน
- ค่านิยมผู้ปกครอง-นักเรียน: ยังยึดติดคะแนนสอบแข่งขัน ต้องสื่อสารและสร้างตัวอย่างความสำเร็จให้เห็นรูปธรรม
- ระบบสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย: จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์-มหิดล ฯลฯ ต้องร่วมปรับเกณฑ์สอบให้สอดคล้องทักษะใหม่
ตัวอย่างประเทศ/โครงการที่พิสูจน์แล้ว
• ฟินแลนด์: ยกเลิกสอบระดับประเทศช่วงประถม-ม.ต้น ใช้การประเมินครูเป็นหลัก
• สิงคโปร์: ตั้ง “Thinking Schools, Learning Nation” เน้นการเรียน PBL พร้อมปรับข้อสอบ GCE ให้ใช้เหตุผลมากขึ้น
• โรงเรียนประชารัฐ “ขยายผลโครงการสะเต็ม” ในไทยเองพบว่า คะแนน STEM thinking สูงขึ้น 20–30 % เมื่อใช้ PBL
สรุป
การขยับจาก “ท่องจำไปสอบ” สู่ “คิด-ทำ-แก้ปัญหา” เป็นจุดเริ่มที่ทรงพลังที่สุด เพราะ
1) แก้รากของคุณภาพผู้เรียน, 2) ทำได้เลยในระดับห้องเรียน, 3) ดึงให้ระบบอื่นต้องปรับตามไปโดยปริยาย หากประเทศสามารถทำให้ห้องเรียนไทยส่วนใหญ่เปลี่ยนวิธีสอนได้จริง การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้าง งบประมาณ และเทคโนโลยีจะเกิดผลคุ้มค่ากว่าที่เคยเป็น—และท้ายที่สุดจะช่วยให้เด็กไทยพร้อมเผชิญโลกที่เปลี่ยนเร็วขึ้นทุกวันอย่างมีความสุขและมีศักยภาพเต็มที่
Comments
No comments yet. Be the first to comment!